เมื่อครั้งสมัยยังเรียนปริญญาตรี ผมเคยจับกลุ่มคุยกับเพื่อนว่า ในตอนนั้น เราอยากจบไปทำอะไร อยากใช้ชีวิตยังไง
ผมจำได้ว่า ผมเล่าให้เพื่อนฟังว่า วันนึงผมนั่งดูหนังช่อง Cinemax แล้วมันมีหนังเรื่องหนึ่งที่มีคุณทาเคชิ คาเนชิโร่แสดงเป็นพระเอก แล้วก็มี Mira Sorvino เป็นนางเอก รับบทเป็นยมทูต ในหนังมันเหมือนกับว่าคุณทาเคชิกำลังจะตายในวันนั้น พอพระเอกมันรู้ว่าตัวเองจะตายวันนั้น มันก็เลยพยายามไปทำนั่นทำนี่ เหมือนทำอะไรที่ค้างคาให้เสร็จ ประมาณว่าสั่งลาก่อนจะตาย
ทีนี้มันมีฉากหนึ่งที่พระเอกมันไปเจอกับศิลปินแก่คนนึง (ผมจำไม่ได้แล้วว่าเป็นศิลปินหรือนักเขียน) แล้วมันก็เลยถามคนแก่คนนั้นว่่า ประมาณว่า
ไหนๆมันก็จะตายแล้ว ไม่มีเวลาเรียนรู้ชีวิตด้วยตัวเองแล้ว ช่วยบอกมันได้ไหมว่า อะไรคือสิ่งที่ทำแล้วเราบอกตัวเองได้ว่า เราสมใจแล้วที่มีชีวิตมา คุ้มแล้วที่มีชีวิตมา
ผมจำได้ดีว่า ตัวละครศิลปินอาวุโสคนนั้นทำหน้าอึ้งๆ แบบติดสตันท์ไป 5 วินาทีแล้วตอบเบาๆว่า .
.. ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน … ขอโทษด้วย
คือผมได้ฟังแล้วเข้าใจความคิดพระเอกขณะนั้นเลยว่า … ถ้าคนที่เป็นศิลปินที่น่าจะเข้าใจโลกสูง แล้วมีชีวิตอยู่มานานขนาดนั้นยังไม่รู้ว่าเราควรต้องทำอะไร เพื่อให้มันสมกับที่มีชีวิตมา ชีวิตที่เหลือของคนธรรมดาแบบพระเอก มันก็ช่างว่างเปล่าจริงๆ
พระเอกมันคงคิดว่า ชีวิตที่เหลือ มันช่างว่างเปล่าจริงๆ
พอปลงตกได้แบบนั้น สุดท้ายพระเอกมันก็ยอมรับ แล้วก็นอนรอให้ยมทูตมาเอาตัวไปตอนท้าย
ผมเลยบอกเพื่อนว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ผมอยากเป็นคนที่ เวลาที่มีคนมาถามผม ตอนอายุ 70 ปี แล้วผมตอบได้ว่าเค้าควรทำอะไร เพื่อให้ตอบตัวเองได้ว่า มันคุ้มค่าแล้วที่ได้เกิดมา
ถ้าศัพท์แบบลูกทุ่งๆก็ต้องบอกว่า “ได้อย่างนี้ ชีวิตกูก็สมใจแล้ว”
….
….
….
….
….
ถามว่า วันนี้ผ่านไปเกินสิบปี ผมเข้าใกล้คำตอบนั้นหรือยัง ก็คงต้องตอบว่ายังไม่ได้เข้าใจพอที่จะเรียกว่าเข้าใกล้ แต่ก็พอมองเห็นทาง
ถ้าเปรียบเป็นการปีนเขา ก็เริ่มจะเห็นแล้วว่ายอดมันอยู่ตรงไหน จากตอนแรกที่เริ่มปีน เริ่มเดิน ที่มองไม่เห็นเลยว่ายอดอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าต้องเดิน
วันนี้เริ่มรู้แล้วว่าเดินยังไง มันจะไปถึงยอด รู้ว่าอะไรคือเป้าหลักที่ต้องทำ อะไรคือเป้ารอง อะไรคือเรื่องไม่เป็นสาระของชีวิต
คนอื่นอาจจะบอกว่า ต้องใช้เวลาเท่านี้เลยเหรอถึงจะเรียนรู้ได้ แต่ผมเองก็ดีใจที่ไม่ต้องพูดว่า
“ใช้เวลามาขนาดนี้ ยังไม่เรียนรู้อะไรเลยเหรอ”
และดีกว่าว่า ถ้ารอถึงอายุ 70 แล้วยังต้องพูดอะไรแบบนั้น ชีวิตมันคงว่างเปล่าจริงๆ
ปล. ภาพยนตร์เรื่องนั้นชื่อ Too Tired to Die ครับ ว่างๆ คงจะหากลับมาดูอีกรอบ เพราะตอนที่ดูตอนนั้น ได้ดูครั้งเดียว แถมดูแค่ตอน 30 นาทีสุดท้ายของเรื่องอีก
ปล. ไม่ได้บอกว่าหนังดีนะครับ แค่ประเด็นมันโดนกับความคิดผม