เอาแม่มาออกสื่ออีกแล้วครับ แหะๆ
แต่ผมคิดว่า ประเด็นที่จะเล่าต่อไปนี้
คุณแม่ผมเหมาะสมที่จะเป็นตัวแทนฟากชาวบ้านมากๆ
และเพื่อนหมอๆของผม ก็ถูกใช้มาเป็นตัวอย่างความคิดเหมือนกัน
อ้อ.. เป็นตัวอย่างนะครับ ไม่ใช่ตัวแทน
เริ่มง่ายๆว่า แม่ผมชอบโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค
เพราะมันเห็นผลในการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของคนธรรมดา
ที่ไม่มีสวัสดิการอะไรเหมือนราชการและพนักงานบริษัทอย่างมาก
ทำให้ภาระทางการเงินที่ต้องเผื่อเงินไว้ใช้รักษาพยาบาลตัวเอง
ลดลงไปเยอะเลย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพ่อแม่ผมใช้ชีวิตกึ่งเกษียนได้ตั้งแต่อายุ 45
ซึ่งผมคิดว่า คนส่วนใหญ่อาจจะถึง 80% ในสังคม อยู่ในสถานะเหมือนแม่ผม
ที่มีความกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลยามฉุกเฉิน
พอเจอโครงการนี้เข้าไป มันเหมือนโครงการสวรรค์เลย ไม่ได้เวอร์นะครับ
ใครอยู่ในสถานะแบบแม่ผม คงคิดเหมือนกัน เพราะชีวิตคนเราก็กังวลแค่นี้ล่ะ
ค่าใช้จ่าย สุขภาพ ครอบครัว
แม่ผมยิ้มแป้นทุกครั้งนะครับที่ไปโรงพยาบาลเวลาไม่สบาย
เพราะรู้ดีว่าจะได้รับการรักษาในค่าใช้จ่ายแค่ “30 บาท”
ผมเลยสรุปง่ายๆว่า คนทั่วไปชอบโครงการนี้ชิบหาย
แต่หากได้รับบริการที่ไม่ได้ ได้ยาห่วยๆ ก็โปรดเชื่อเถอะครับว่าทุกคนนั้น…
โทษ “หมอ” ไม่ใช่ “ทักษิน”
ซึ่งสวนทางอย่างมากกับคุณหมอ
ผมว่าอาชีพหมอมีความน่าเห็นใจอย่างมาก เพราะสังคมทุกวันนี้ไม่ได้มองหมอว่าเป็นเทวดาในชุดขาวเหมือนแต่ก่อน
แต่มองหมอว่าเป็นอาชีพที่มีรายได้สูง เป็นอันดับต้นๆของสังคมไทย
ใครมีลูกเป็นหมอ มีพ่อแม่เป็นหมอ มีแฟนเป็นหมอ การันตีได้ว่า แม่งรวย
หมอบางคนอาจจะเถียงผมในใจว่า ไม่จริงหรอกครับ ผมไม่รวย รายได้ก็ไม่เยอะ
แต่ผมก็อยากบอกว่า คนไทย 80% มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือนนะครับ
ดังนั้นไม่ว่าหมอจะออกตัวยังไง คนกลุ่ม 80% นั้น ก็คิดว่าหมอรวยนะครับ แหะๆ
และความที่หมอถูกมองว่า “รวย” ทำให้หมอเจอวิบากกรรมเดียวกับคนรวยทั่วไปในสังคมคือ
“คนรวยมักถูกเอาเปรียบ”
คนทั่วไปคิดว่า การเอาเปรียบคนที่เค้าคิดว่ารวยๆนิดหน่อย เป็นเรื่องทำได้ ไม่บาป
และถ้าคนรวยบ่นอะไรที่เกี่ยวกับความลำบากหน่อย คนทั่วไปจะมองด้วยสายตาดูแคลน
ดูแคลนว่า
บอบบาง
อ่อนแอ
กระแดะ
หรือพวกชั้นลำบากกว่านี้เยอะ ยังไม่บ่นเลย
ดังนั้นเมื่อ 30 บาทรักษาทุกโรคเกิดขึ้นมา
เสียงบ่นจากหมอๆทั้งหลาย เลยถูกคนทั่วไปให้น้ำหนักอย่างเบาหวิว
แถมบ่นมากๆก็ถูกคนทั่วไปมองด้วยสายตาดูแคลนว่าลำบากแค่นี้ทำบ่นอีก
“พวกชั้นลำบากกว่านี้เยอะ ยังไม่บ่นเลย”
เพราะตอนนี้สังคมคิดแบบนี้ ทำให้เวลาหมอบ่น
เลยไม่ได้รับการตอบสนองจากใคร นอกจากเพื่อนหมอๆด้วยกันเอง
ผมสังเกตุเองง่ายๆว่า เวลาเพื่อนหมอมันบ่นเรื่องนี้เวลานั่งกินข้าวกัน
ผมไม่เห็นจะมีเพื่อนคนไหนใส่ใจมันสักคน
และในมุมของเพื่อนหมอของผมนั้น
มันก็บ่นคนไข้ ซึ่งก็คือคนแบบแม่ผมนี่ล่ะว่า
ไม่ยอมดูแลตัวเองไม่ให้ป่วย ไม่ออกกำลัง ไม่กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ
บางอย่างเล็กน้อยมาก นอนวันสองวันก็หาย ไม่เห็นต้องมาหาหมอ
ทำให้คนไข้ล้นโรงพยาบาล งานเยอะ เงินอุดหนุนไม่พอ
ซึ่งผมก็คิดอีกเหมือนกันว่า ในความที่คนทั่วไปไม่เข้าใจหมอ
ผมว่าเพื่อนหมอของผม มันก็ไม่เข้าใจคนทั่วไปเหมือนกัน
เมื่อไม่เข้าใจคนทั่วไป แล้วพอบ่นๆ ด่าๆไป คนทั่วไปก็ไม่เข้าใจหมอ
เพื่อนหมอของผมมันก็เลยด่ารัฐบาลดีกว่า ง่ายดี
เพราะถ้าไอ้แม้วไม่ออกโครงการนี้มา มันก็ไม่เป็นแบบนี้
เพราะถ้าไอ้แม้วมันออกโครงการมา แต่ทำดีๆ มันก็ไม่เป็นแบบนี้
ก่นด่าพี่แม้วไปอย่างเมามัน เพราะก็ไม่รู้จะไปด่าใครดี
ด่าคนไข้ก็ไม่ได้ ก็คนมันป่วยจริงนี้หว่า ไม่งั้นเค้าจะมาหาหมอทำไม
ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกนะถ้าใครถูกผิด เพราะปัญหาเรื่องนี้
มันก็เหมือนแบบสุภาษิตที่ว่า “สองคนยลตามช่องฯ”
ที่ต่างคนก็ต่างมองเรื่องเดียวกันคนละมุม
คนได้ประโยชน์ก็เฮฮา คนเสียประโยชน์ก็ก่นด่า
เสียแค่เรื่องนี้คนเฮฮาคือคนชั้นล่างของสังคมไทย
ใครจะมาก่นด่ามากๆ ก็จะโดนหาว่าแล้งน้ำใจ ใจดำ
คนเสียประโยชน์ที่ถูกมองว่าเป็นชนชั้นระดับบน
ก็เลยต้องทนเก๊กซิมไป เพราะรัฐบาลไหนๆก็ไม่กล้าล้มโครงการนี้หรอก
กลับมาที่แม่ผม หลังจากที่ผมไปกินข้าวแล้วเล่าเรื่องเพือนหมอบ่นให้ฟัง
แม่ผมทำแค่หัวเราะขำๆ ระหว่างนั่งฟังเจ๊หน่อยออก spot ชักชวนให้คนมาเต้นแอโรบิค
จากนั้น 2-3 วัน แม่ก็ขี่มอเตอร์ไซด์ไปเต้นแอโรบิคทุกวัน
และทำมาเป็นประจำอย่างนั้นมา 8-9 ปีแล้วครับ
อ่านเพลินดีครับ เป็นกลางดี เห้นภาพดีด้วย
ชอบจ้ะ บอกต่อละ 🙂
ขอบคุณทุกท่านที่มาอุดหนุนครับ
สุขภาพดี ต้องร่วมสร้าง
อย่าปล่อยวาง แต่คุณหมอ
คนดี คนเลว ปะปนกัน ไม่แปลกทุกสาขาอาชีพ มีทั้งคนดีคนเลว
และเป็นการยากที่คนเราจะทำทุกอย่างให้อีกฝ่ายพอใจได้
เราออกตัวก่อนว่าค่อนข้างจะมีอคติกับหมอ เพราะที่เราพิการแต่เกิดก็เพราะความมักง่ายของหมอเช่นกัน
เรื่องที่จะบอกต่อไปนี้ เพิ่งเกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 3 เดือนนี้เอง
ญาติเราไปใช้บริการที่รพ.ประจำจังหวัด ในโครงการ 30 บาท
โรคที่เขาเป็นก็จิตเภท ไปหาหมอก็ได้รับยามาสี่ถุง
วันแรกที่เขาทาน คือนอนหลับไป 15 ชม. (4โมงเย็น-7โมงเช้า)
ตืนมาเขามีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง
ตอนแรก คิดว่าเพราะเขาคิดระแวงไปเองจนเกิดอาการปวดขึ้น
แต่พอทานไปอีกชุด ก็ยังเป็นลักษณะนี้อยู่จึงตัดสินใจเข้ารพ.อื่น
หมอที่รพ.ที่2บอกว่า ยาชุดก่อนจ่ายให้เกินขนาด กินเพียงตัวยาเดียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องจ่ายให้ถึงสี่
เราได้ยินก็ถึงกับตกใจ ว่าทำไมเขาถึงจ่ายให้มากมายเกินกว่าเหตุขนาดนั้น
แต่เราก็อดคิดไม่ได้ว่า เขาอาจวินิจฉัยระดับอาการแตกต่างกันก็ได้ เพราะคนเป็นโรคนี้อารมณ์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เราไม่ได้สรุปว่า รพ.ที่สองถูกต้อง เราดูจากอาการของญาติเราเป็นหลัก
เราว่าหมอก็คนๆนึง มีอารมณ์ มีความรู้สึก เราไม่ได้มองหมอว่าเป็นคนพิเศษ แต่มองที่อาชีพรักษาชีวิตของคนเป็นอาชีพที่ต้องมีความรับผิดชอบ มีความรอบคอบ และการเอาใจใส่สูงกว่าอาชีพใดๆ ถ้าหากขาดจุดนี้ไป แม้โครงการจะดีมากถึงมากที่สุดเท่าใดก็ตาม มันก็ไม่ช่วยให้เกิดประโยชน์ใดขึ้นมา
ส่วนคนไข้ นิสัยตามใจปาก ตามใจตัวเอง ไม่สนใจตัวเอง ไม่ดูแลตัวเอง นั่นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว เพราะมันเป็นนิสัยของคน มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนกันไม่ได้ง่ายๆ ขึ้นอยู่กับความรักตัวเองของเขา ว่าเขายอมจะเปลี่ยนเพื่อตัวเองหรือคอยจะพึ่งพาแต่หมอ ที่เป็นใครก็ไม่รู้…
ตอบในฐานะหมอ รพ.รัฐบาลนะครับ ยินดีด้วยที่คุณแม่ของคุณได้รับประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยจากระบบประกันสุขภาพครับ ส่วนเรื่องหมอถูกว่าเป็นเรื่องปกติครับ ขอแค่คนไข้หายพวกหมอก็ดีใจแล้วครับ