ทดลองขับ Mazda 2

สวัสดีครับ สึกแล้วครับผม…

From Mazda 2

วันนี้ไปทดลองขับ Mazda 2 มาครับ เนื่องจากผมว่างและอยากทดลองขับรถรุ่นใหม่ดู
และเนื่องจากที่คุณพ่อมีโครงการจะเปลี่ยนรถใหม่ และคุณแม่ท่านมีดำริอยากได้รถเล็ก
ราคาไม่แพงมาใช้งานแทนเจ้า CIVIC ตาโต ที่อยู่คู่บ้านเรามา 10 กว่าปีแล้ว
คุณแม่เลยขอติดตามไปทดลองขับ Mazda 2 ตัวนี้และไปลองสังเกตุการดูด้วย

เกริ่นก่อน
ก่อนอื่น ขอออกตัวก่อนว่ารถที่ผมใช้อยู่ประจำคือ NEW CIVIC 2006
ประมาณ 140 แรงม้า ซึ่งแรงบิดและแรงม้าจะดีกว่า Mazda 2 แน่นอน
ดังนั้นความรู้สึกขับแล้วพุ่ง การตอบสนองของเครื่องยนต์ผมคงไม่รู้สึกจี๊ดจ๊าดง่ายๆ
แต่ด้วยความที่เคยลองขับรถของ Mazda มาก่อน (Mazda 3)
ก็พอจะรู้อารมณ์ของรถค่ายนี้และค่ายพี่น้องอย่าง Ford ด้วย
แต่ก็อะไรที่คนอื่นรู้สึกผมอาจจะไม่รู้สึกมาก ดังนั้นก็บวกลบเรื่องนี้ด้วยครับ

รู้จัก Mazda 2 ก่อน
Mazda 2 เป็นรถรุ่นเล็กของ Mazda ครับ ที่ถูกส่งเข้ามาลุยตลาดรถ Hatchback
กับจ้าวตลาดอย่าง Honda Jazz และรถอีกรุ่นในตลาดคือ Toyota Yaris
ซึ่งถ้าดูกันจริงๆแล้วจะรู้ว่าใน segment ของตลาดรถรุ่นนี้ Jazz และ Yaris
ก็ถือว่าจับกลุ่มลูกค้าคนละตลาด ซึ่ง Jazz จะจับกลุ่มคนมีมีรถคันแรกทั่วๆไป
ทั้งเด็กมหา’ลัยและกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เพิ่งทำงานและอยากมีรถคันแรก
ส่วน Yaris จับกลุ่มวัยรุ่นชัดเจน(อันนี้เป็นการทำ Marketing แก้เกมส์ของ Toyota Thai เอง
หลังจากรถเปิดตัวแป๊กอย่างแรง แต่ถือว่าแก้เกมส์ได้ดีมาก)
ซึ่งทาง Mazda 2 เองก็พยายามทำตลาดเพื่อเข้ามาทาง sub-segment
ของ Yaris ด้วยการใช้ Presenter อย่างเป้และพยายามสื่อถึงความ sport และรูปลักษณ์
ที่โฉบเฉี่ยวซึ่งผมว่าน่าจะได้ผล และ Yaris น่าจะหนาวพอสมควร
เพราะราคาต่อ function ถือว่าดีกว่า Yaris เยอะ

Mazda 2 มีทั้งหมด 4 รุ่นคือ

  • 1.5 G/MT ราคา 530,000 บาท เกียร์ manual
  • 1.5 G/AT ราคา 570,000 บาท เกียร์ auto รุ่นล่าง
  • 1.5 S/AT ราคา 640,000 บาท
  • 1.5 R/AT ราคา 690,000 บาท รุ่น Top ตกแต่งครบ กุญแจ Remote

Mazda 2 ใช้เครื่องยนต์แบบโรตารี่ของ Mazda ครับ
มีแรงม้า 103 แรงม้าที่ 6000 รอบ ซึ่งน้อยกว่ารุ่นพี่คือพี่ 3 เครื่อง 1.6
อยู่แค่ 2 แรงม้าเท่านั้นเอง แต่เวลาซื้อรถ อย่าดูที่แรงม้าอย่างเดียวนะครับ
ให้ดูที่แรงบิดเป็นหลัก เพราะแรงม้าคือกำลังสูงสุดที่เครื่องยนต์จะรีดออกมาได้
ซึ่งปกติจะรีดออกมาก็แถวๆ 5000 รอบ ไม่ค่อยมีมนุษย์ทั่วๆไปที่ไหนขับรอบสูงขนาดนั้นหรอกครับ
โดยน้อง Mazda 2 มีแรงบิดที่ 135/4000 รอบ ก็ถือว่าธรรมดานะ
ถ้าวิ่งแบบเราๆทั่วไป แรงม้าคงลงพิ้นมาแค่ 75-80 แรงม้าเท่านั้นล่ะครับ
ก็ถือว่าพอใช้ได้สำหรับขับในเมือง Jazz เอาลงมาได้ 85-90
แล้วก็แรงบิดที่ 145/4,600 ครับ ส่วนแรงม้าอยู่ที่ 120

ส่วน ABS, ถุงลมนิรภัย, ระบบปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลา, ระบบกระจายแรงเบรค
ถือเป็นอุปกรณ์มาตรฐานครับ ส่วนระบบเป็น Full จะอยู่ในรุ่น S ขึ้นไป
ทั้งกุญแจ Immo, ระบบบอกอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง, ระบบควบคุมเครื่องเสียงที่พวงมาลัย
เป็นต้น

สิ่งที่ผมไม่ชอบของ Mazda 2 คือระบบเกียร์อัตรโนมัติ 4 เกียร์
ซึ่งทำให้การตอบสนองไม่จัดจ้านเท่าที่ควร (Jazz 5 เกียร์ครับ)
และระบบเบรคที่มี Disk แค่ล้อหน้า ส่วนล้อหลังเป็นแบบดรัม
เหมือนรถเมื่อ 10-20 ปีที่แล้วล่ะครับ แต่ Jazz เป็น Disk ทั้งหน้าหลัง

ถ้าฟันธงแล้ว รุ่น 1.5 S คุ้มกว่าสำหรับเงิน 7 หมื่นที่เพิ่มเข้ามา
ถ้าไม่สนเรื่องที่ว่า รุ่น G ก็พอครับ แต่ขอบอกว่า Immo เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผม
ถ้าไม่อยากนอนผวากลัวรถหาย Immo อุ่นใจกว่าครับ

Exterior & Interior
ภายนอก อันนี้แล้วแต่คนชอบครับ แต่ผมเองมองว่า Mazda 2
ออกแบบภายนอกมาได้สวยกว่า Yaris และ Jazz ครับ
แค่สีเขียวก็โคตรเฉี่ยวแล้ว และที่ชอบอีกอย่างคือเจ้านี่

From Mazda 2

ไอ้จุดกลมๆนั่นคือที่เปิดประตูหลังครับ ที่แค่กดเบาๆก็เปิดได้เลย
ไม่ต้องใช้กุญแจแบบ CIVIC ของผม ซึ่ง… กูชอบมากกกก
อีกอย่างในรุ่น R ก็มีจุดแบบนี้ที่ประตูหน้าครับ ทำให้ไม่ต้องไขกุญแจ
เอามือกดจุดดำๆเนี่ย ก็เปิดประตูได้เลย เดี๋ยวจะเล่าเรื่องกุญแจอีกที

From Mazda 2

ส่วนภายใน ต้องบอกว่าวัสดุค่อนข้าง look cheap ไปหน่อย
แต่ไม่เหมือน Yaris ที่วัสดุดูเหมือนใช้ของเกรดเดียวกันกับ VIGO รุ่นล่างเลย
เป็นเหตุที่ผมเองเลยไม่ชอบ Yaris ส่วนมาตรวัด
ก็ตามแบบของ Mazda ที่จะเป็นทรงกลม ถ้าเป็นรุ่น S ขึ้นไป จะมีมาตรบอก
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน และคำนวณระยะทางที่สามารถวิ่งได้ให้ด้วย
ซึ่งอันนี้ผมว่ามีประโยชน์พอสมควร ซึ่งรถที่ผมลองขับ บอกอัตราการซดน้ำมันไว้ที่
8.6 km/l ถือว่ากินมากพอควร แต่รถ Test Drive ก็แบบนี้ล่ะครับ
ใครมาลองก็เหยียบทดสอบเครื่องกันสุดตีน อัด 130-140
รอบวิ่งไปถึง 4,000 รอบอยู่แล้ว ส่วนเกียร์ก็โยกมาไว้ติด console
ตามสมัยนิยมของรถทุกวันนี้ จริงๆเมืองนอกออกแบบ
อย่างนี้มานานเป็นชาติแล้ว แต่เมืองเทยไม่ค่อยเห็นที่เอาเข้ามาขายทำกันเท่าไหร่

ส่วนที่นั่งคนขับก็ปรับเบาะสูง-ต่ำได้ ส่วนเบาะก็ไม่แข็งไม่นุ่มเกินไป
ได้อารมณ์ sport ดีและค่อนข้างกระชับตัวผมครับ
คิดว่านั่งนานๆ 4-5 ชม. ก็ไม่น่าเมื่อย
เรื่อง Handing&Feeling เดี๋ยวเล่าอีกทีตอนลองขับ

From Mazda 2

อีกส่วนที่ผมให้ความสำคัญคือที่นั่งด้านหลังครับ เพราะถ้าผมขับ คนนั่งหลังก็พ่อแม่
ไม่ก็ญาติๆ เป็นส่วนที่ผมลองนั่งทุกครังเวลาจะซื้อรถ และขอบอกว่าผมไม่ชอบ Jazz
อย่างมากก็เรื่องเบาะหลังที่แข็งแบบนั่งนานปวดหลังแน่นอน
ไม่รู้ว่า New Jazz ดีขึ้นยัง

แต่ของ Mazda 2 นี่นั่งสบายครับ คนสูง 173 แบบผมเนี่ยนั่งได้ชิวๆเลย
คือเข้าใจก่อนนะครับว่า นั่งสบายคือนั่งสบายในบริบทของรถเล็ก อย่าคิดว่านั่งสบายแบบ Camry

จากรูปนี่คือผมปรับเบาะมาแบบที่ผมนั่งขับแบบสบายแล้วนะครับ
ไม่ได้ปรับเบาะหน้าแบบชิดๆพวงมาลัย สำหรับผมถือว่าดีกว่า Jazz และ Yaris ครับ
คุณแม่ผมเองที่ไปด้วยก็บอกว่าชอบ นั่งสบายดี
รวมทั้งที่นั่งข้างคนขับด้วย ท่านก็บอกนั่งสบายดี
ไม่รู้สึกเล็กเหมือน VIOS รุ่นแรก

ถายในเรื่องความสบาย ผมว่าผ่านครับ

Wow Factor

From Mazda 2

สำหรับ Mazda 2 รุ่น Top จะมีกุญแจแบบ Smart Key มาให้ครับ
ข้อดีมันคือมันส่งสัญญาณคุยกับตัวรถที่รถเลย
ทำให้พอคุณมาอยู่ในรัศมี 50cm รอบรถ
คุณจะสามารถควบคุมทุกอย่างได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจ
ไม่ว่าจะเป็นเปิดรถ ล็อครถ Start รถ
สามารถทำได้โดยไม่ต้องเอากุญแจออกจากกระเป๋าเลยครับ ถ้าคุณจะซื้อรุ่น S
ผมบอกได้เลยว่าการเพิ่มเงิน 50,000 บาท เพื่อเอารุ่น Top เป็นอะไรที่คุ้มมากกกกก

ได้กุญแจ Smart Key ได้ชุุดแต่งรอบคัน + ไปตัดหมอก และ CD Changer 6 แผ่น
(ไม่มีค่า เพราะต่อ iPod ฟังได้มากกว่า CD 6 แผ่นเป็น 10 เท่า)

ทดลองขับ

เอาล่ะครับ มาถึงขั้นตอนสำคัญของการซื้อรถ นั่นคือการทดลองขับครับ
ขอย้ำว่า การทดลองขับสำคัญมาก อย่าซื้อรถโดยไม่ได้ทดลองขับเป็นอันขาด
วันนี้ผมเห็นที่โชว์รูม แบบมาดูรถแล้วจองกันเลย ลองข่งลองขับอะไรไม่สนทั้งนั้น

รถไม่ได้ลองขับ อย่าซื้อครับ

การทดลองขับครั้งนี้ ผมขับ Mazda 2 ในระยะทางราว 20 km
จากในเมืองขอนแก่น ออกไปนอกเมือง
ความเร็วสูงสุดที่ได้ลองคือ 140 km
นอกเมืองวิ่งราวๆ 120
ในเมืองก็ตามสภาพถนนครับ

ความรู้สึกแรกคือช่วงล่างดี คืออารมณ์ Mazda ออกมาชัดเจน
รถนิ่งมาก ตอนเครื่องเดินเบาก็เงียบ
แต่การตอบสนองของเครื่องยนต์ไม่ปรู๊ดอย่างที่อยากได้ครับ
ผมรู้สึกมากๆว่า เวลาต้องการความเร็วทันทีในการเปลี่ยนเลนส์การเบียดแซง
ต้องรอเครื่องยนต์ส่งกำลังมาราวๆ 1 วินาที
และแรงที่ได้มาก็ไม่ได้แบบรถพุ่งอย่างที่น้องเซลส์พยายามบอก

แต่พอออกนอกเมืองวิ่ง 120 ต้องบอกว่ารถนิ่งมาก
ทำให้ไม่รู้สึกเลยว่า 120 เร็วและการเก็บเสียงในห้องโดยสารก็ทำได้ดี
ประมาณ 130 ถึงเริ่มได้ยินเสียงลม

ส่วนพวงมาลัย ผมว่าค่อนข้างไวและเบาไปนิดเวลาขี่เร็วแต่ก็ถือว่าดีครับ
ซึ่งเจ้าพวงมาลัยเนี่ยมีอัตราทด 1 องศา เท่ากับ 1 องศาของรถเลยครับ
และค่อนข้างแม่นเลย

ส่วนความรู้สึกในการขับ ผมรู้สึกว่าเบาะนั่งมันสูงไปหน่อยทำให้รู้สึกแปลก
(อันนี้ปรับเบาะลงมาต่ำแล้วครับ)อาจจะเพราะผมไม่ชินกับรถเล็ก
แต่เรื่องความรู้สึกในการควบคุม ตัวรถตอบสนองมาดีเลยครับ
และค่อนข้างรู้สึกเลยว่าเอาอยู่ รถไม่มีอาการโคลงเคลงเวลาเลี้ยว
หรือเปลี่ยนเลนส์กระทันแบบให้รู้สึกกังวลแต่อย่างใด
ช่วงล่างหนึบแน่นดีตามมาตรฐาน Mazda ครับ เอาว่าวิ่ง 120 ไม่รู้สึกเหมือนรถจะบินแต่อย่างใด
แต่การตอบสนองที่ช้านิดนึงของเครื่องยนต์ ทำให้ความมั่นใจในการแซง
ในที่คับขันลดลงไปพอสมควร (อันนี้มันต้องอาศัยความคุ้นเคยกับรถด้วยครับ)

รถรุ่นนี้ มีลำโพงค่อยทำเสียงเครื่องให้เหมือนรถแข่ง
เวลาเราเร่งรอบสูงๆด้วยครับ ทำให้ได้อารมณ์ขับสนุกไปอีกแบบ
แต่แม่ผมบอกว่ารำคาญ ฮ่าๆๆๆ

อ้อ… เสียงแตรน่ารักโคตรรรรร

สรุป
Mazda 2 เป็นรถที่สวย เฉี่ยว ขับสนุกครับ

แต่ราคาต่อ function ที่ได้ ผมว่ายังเป็นรอง Honda Jazz ครับ
ถ้ารุ่น Jazz V/AT จะราคาถูกกว่า S/AT ของ Mazda 2
แต่ได้ Spec ที่ขาดไปครบเลย ทั้งกุญแจ Immo, Disk Break 4 ล้อ
เกียร์ 5 speed อีกเยอะแยะ ลองเทียบกันดู

อีกทั้งระบบบอกอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันก็เป็นของมาตรฐานสำหรับ Jazz
แต่ Mazda 2 เป็นของที่มีในรุ่น S ขึ้นไปเท่านั้น แต่ Mazda 2
ก็ให้ Airbag เป็นของที่มีมาเลย
แต่ jazz ก็แยกรุ่น Airbag ออกมาต่างหากครับ

ได้อย่างเสียอย่าง

ถ้าเอาตามเหตุผล ผมเลือก Jazz
แต่ถ้าตามอารมณ์ ผมเอา Mazda 2 ครับ

ฟันธง!!!

One thought on “ทดลองขับ Mazda 2

  1. ว๊าวๆๆ
    ว่างๆพี่มาให้ข้อมูลดีๆแบบนี้อีกนะ

    วิเคราะห็ได้เลิศดี
    ขอบคุนคับบ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *