สมัยหนึ่งผมชอบถามใครๆว่า ถ้าเลือกหนังที่ชอบมากที่สุด 10 เรื่องได้
จะมีอะไรบ้าง
พอมาเมื่อ 2-3 วันก่อน มานึกเรื่องนี้ได้อีกครั้ง
แล้วก็มานึกได้อีกว่า ไม่ได้คิดอะไรแบบนี้มานานแล้ว
มาลองคิดดูเล่นๆบ้างอีกที คงสนุกดีเหมือนกัน
และจากวันเวลาที่ผ่านไป ทุกวันนี้ best ของผม
เหลือไม่ถึง 10 แล้วครับ
Fight Club (1999)
First Rule of Fight Club is You Do Not Talk About Fight Club
หนังขึ้นหิ้งระดับตำนานที่ไม่มีใครที่แนวๆสมัยนั้นไม่รู้จัก
เป็นหนังที่ทำให้ผมโคตรชอบ พิตต์ นอร์ตัน
และคิดว่า ฟินช์เชอร์เป็นผู้กำกับที่เจ๋งโคตรๆ
ธีมหลักของ fight club ยังเป็นเรื่องจริงตลอดเวลา
ตราบใดที่เรายังตกเป็นทาสบริโภคนิยม
ยังอยากได้ iPhone ยังอยากได้ Notebook ใหม่
แน่นอนว่าชีวิตผมทุกวันนี้ พยายามใช้ชีวิตไม่ให้เป็นอย่างที่หนังมันด่า
“ของของคุณ เป็นเจ้าของคุณ“
แม้บางครั้งมันจะเป็นเจ้าของผมบ้าง
แต่ทุกครั้งที่อะไรมันพัง ผมแทบไม่เคยเสียดมเสียดายมันเลย
ผมพยายามรู้ตัวทุกครั้งว่า เราเป็นเจ้าของมัน
อย่าให้มันมาเป็นเจ้าของเรา อย่าไปยึดติด อย่าอาลัยอาวรณ์
แน่นอนว่าผมก็ยังตัดเรื่องความอยากได้อยากมีไม่ได้
เมื่อตัดไม่ได้ ผมเลยแก้ปัญหาเอาว่า
“ซื้อของที่ดีที่สุด ที่สามารถซื้อได้”
เมื่อผมซื้อของที่ดีสุดที่ผมสามารถซื้อได้ ความอยากได้อยากมี
เพราะมันออกรุ่่นใหม่ เพราะมันดีกว่า อันนี้มันจะน้อยลงไปเอง
ของพวกนี้คือสิ่งที่ได้จากหนังเรื่องนี้
ทุกวันนี้ยังคิดว่า ถ้าไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ โคตรเสียชาติเกิดเลย
คุณเป็นคุณ ไม่ใช่เพราะงานที่คุณทำ
คุณเป็นคุณ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินในธนาคารของคุณ
คุณเป็นคุณ ไม่ได้อยู่ที่ว่า คุณมีเงินในกระเป๋าเท่าไร
คุณเป็นคุณ ใช่ว่าเพราะคุณสวมใส่เสื้อผ้าอะไร
แต่คุณก็ไม่ได้เป็นเกล็ดหิมะที่สวยงาม
และโดดเด่นเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นเช่นกัน
The Matrix (ภาคแรกเท่านั้น)
หนังระดับขึ้นหิ้ง Neo-Classic ไปเรียบร้อยแล้ว
ใครไม่เคยดูถือว่าไม่ได้เกิดมาในยุคนี้อย่างแท้จริง ฮ่าๆๆ
เอาแค่ว่า Bullet Time ก็แทบจะเปลี่ยนโลกของหนัง action ไปแล้ว
ตอนผมดูหนังแรก ยังคิดเลยว่า แม่งทำได้ไงวะ
ผมตื่นตาตื่นใจกับเทคนิคพิเศษมากกก แต่กับเนื้อเรื่อง ผมไม่ได้คิดว่ามันใหม่มาก
เชื่อไหมว่า ผมเคยอ่านเรื่องที่สั้นที่มีแนวคิดแบบนี้มาก่อนหน้าสัก 5 ปีได้
และมันเป็นเรื่องสั้นในขายหัวเราะ!!!
ชื่อ “พระเจ้ากำมะลอ“
ตอนดูหนังจบ ผมคิดว่าพี่คีนูเท่มาก และชุดหนังกับแว่นตา มันเท่ๆสุดๆ
แต่พอภาคถัดๆมา ผมกลับคิดว่ามันไม่ได้อารมณ์เท่าอันแรก
และก็แน่นอนว่า ไอ้สองพี่น้องนั่น มันก็ไม่ได้คิดพล็อตมา 3 ภาคหรอก
The Lord of The Rings
หนังออกมาพร้อมๆกับ Harry Potter ภาคแรก ซึ่งผมจำได้ดีว่าไปซื้อตั๋ว
รอดูวันแรก ตอนวันก่อนหยุดยาวปีใหม่ และซื้อตั๋วได้รอบตีหนึ่ง
หนังยาวสามชม. ดูจบตอนตีสี่ แต่ไม่ง่วงสักแอะ
หนังสนุกโคตร และผมก็ได้เรียนรู้ว่า ถ้าหนังมาจากหนังสือ
ให้ดูหนังก่อน ค่อยมาอ่านหนังสือ
เพราะถ้าอ่านมาก่อน รู้เรื่องมาก่อนเมื่อไหร่
มันจะไม่สนุกเมื่อนั้น ที่ไม่สนุกเพราะหนังมันจำกัดเวลา
ทำให้ต้องตัดนั่นตัดนี่ออกไปเยอะ
เอาว่า Fellowship ที่ตัดเรื่องของ ทอม บาร์บาบิเดล ออกไปทั้งดุ้น
ถ้าอ่านหนังสือมาก่อนก็เศร้าใจแล้ว
มาอ่านทีหลังก็ทำให้รู้ว่าผ้าคลุมเอลฟ์ ที่โฟรโดได้รับมา มีความสามารถพลางตาได้
รู้ว่าทำไมโบโรเมียร์ ต้องอยากแย่งแหวน รู้นั่นรู้นี่เพิ่มอีกเยอะ
แต่ Lord ก็เป็นหนังที่ว่า ขนาดตัดนั่นตัดนี่ออกไปเยอะเหมือนกัน มันก็ยังสนุกชิบหาย
และผมมี DVD ทั้งแบบปกติ และ Extend Edition 12 DVD ด้วยนะ
15 ค่ำ เดือน 11
นานๆจะมีหนังไทย ที่ทำเรื่องอะไรก็ไม่รู้แล้วดูสนุก
15 ค่ำฯ เป็นหนังเรื่องแรกของ Hub Ho Hin ที่ทำกับ GMM
และประสบความสำเร็จเรื่องรายได้พอสมควร
ตัวหนังก็ดีมาก จน อากู๋ ต้องส่งดอกไม้ให้พี่เก้งวันฉลองรายได้
เพื่อบอกว่า “หนังเรื่องนี้ เป็นความภูมิใจของ GRAMMY”
และจากเรื่องนี้ก็สานต่อมาเป็น “แฟนฉัน”
จนเกิดเป็น GTH ในที่สุด
หนังเล่าเรื่องของคนอีสานออกมาได้ดีมาก
คนอีสานทั่วไปก็เป็นแบบในเรื่องล่ะครับ
เป็นคนน่ารัก รักสนุก
และคำว่า “เฮ็ดในสิ่งที่เชื่อ เชื่อในสิ่งที่เฮ็ด” ก็เป็นอะไรที่บอกตัวหนังได้อย่างดี
เสียดายที่หนังพูดอีสานตลอดทั้งเรื่อง ทำให้หลายคนไม่กล้าไปดู
และด้วยที่คนกรุงชอบดูถูกคนอีสานอยู่แล้ว
การที่หนังพูดอีสาน ก็ทำให้คนกรุงมองหนังเรื่องนี้ด้วยสายตาลดเกรดทันที
ผมเชื่อลึกๆในใจว่า ถ้าบั้งไฟพญานาค มันขึ้นที่เชียงใหม่
หนังเรื่องนี้อาจจะได้ 100 ล้านก่อนใครเพื่อนก็ได้
My Sassy Girl
ถ้าความว่าใครที่เป็นคนสร้างคุโณปการให้เกาหลีอย่างใหญ่หลวง
ผมคิดว่าต้องเป็น Juan Ji-Huen แน่นอน
ตอนที่หนังเรื่องนี้เข้าฉายเมืองไทย น้องเค้ายังเอ๊าะอยู่
เล่นเอาหนุ่มไทยคลั่งกันทั้งประเทศ และทำเอาคนไทย
บ้าสาวเกาหลีมาตั้งแต่นั้น
หนังเรื่องนี้สร้างมาจากเรื่องบน internet
และก็สนุกเหลือหลายเพราะทีมภาคพันธมิตรของไทย
แต่ตอนผมได้ดูหนังเรื่องนี้ ผมดูฉบับ Director’s Cut
ผ่าน DVD แม่สาย และพบว่าหนังซึ้งกินใจมาก
แถมฉากที่ซึ้งต่อมน้ำตาแตก ดันเป็นฉากที่โดนตัดทิ้งไป
ใน version ปกติเสียนี่ ฮ่าๆๆ ใครชอบเรื่องนี้ แต่ไม่ได้ดู
ฉบับ Director’s Cut ขอบอกว่า น่าเสียดายมาก
กับ 20 นาทีที่หายไป
มาได้ 5 เรื่องก็หมดเท่าที่นึกออกแล้วครับ
จริงๆมันน่าจะมีเยอะกว่านี้แต่ก็นึกไม่ออก
แหละหลายเรื่องๆที่นึกออก ก็แค่ชอบ
ได้ไม่ถึงขั้น best
ไว้นึกออกอีกจะมาเขียนต่อ