เมื่อวานจะเขียนวิพากษ์นโยบายท่านมาร์ค แต่ดันเขียนเกริ่นยาวไปหน่อย
จนกลายเป็นอธิบายเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจไป
ไหน ไหน ก็ไหน ไหน งั้นมาอธิบายเรื่อง sub-prime ให้มันจังๆเลยดีกว่า
sub-prime หรือ subprime คืออะไร
มันก็มีเหตุมาจากคำว่า Prime หรือระบบวัดระดับความสามารถในการชำระหนี้ของธนาคารอเมริกัน
ซึ่งเวลาที่เค้าประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของคนที่ต้องการเป็นหนี้นั้น เค้าจะบอกออกมาเป็นตัวเลขที่เรียกว่า
“FICO Score” ซึ่งคนที่จะสามารถกู้เงิน (เป็นหนี้) ได้นั้น ต้องมี FICO Score มากกว่า 680
และเค้าเรียกเส้นที่กั้นระหว่างการเป็นหนี้ได้ กับการเป็นหนี้ไม่ได้ที่ 680 นี่ว่า “PRIME”
ดังนั้นกลุ่มคนที่เป็นหนี้ไม่ได้เหล่านี้ เค้าเลยเรียกว่า sub-prime นั่นเอง ซึ่งผมว่าก็เป็นคำเรียกที่เข้าใจง่ายดี
แต่จริงๆแล้วกลุ่มคนที่อยู่ในกลุ่ม sub-prime นั้น มีค่อนข้างเยอะที่มี FICO Score สูงกว่า 680 อีก
อ้าว…แล้ว FICO Score มากกว่า Prime แล้วทำไมกู้ไม่ได้และต้องมาเป็น sub-prime ล่ะ
ก็เพราะว่า นอกจากพวกอยากเป็นหนี้แต่ไม่มีปัญญาแล้วนั้น มันยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่มีเงินเยอะแต่ไปกู้เงินคนอื่นไม่ได้ เช่นคนที่ล้มละลายมา คนที่ติด Black List เหล่านี้เป็นต้น ทำให้มีคนกลุ่มใหญ่ที่มีกำลังเป็นหนี้สูงพอสมควรที่อยู่ในกลุ่ม sub-prime นี้ด้วย
แล้วทำไมคนที่เป็นหนี้ไม่ได้เหล่านี้ กระเหี้ยนกระหืออยากเป็นหนี้กันจัง มันจะอะไรกันหนักกันหนา
สาเหตุมันก็เนื่องจากว่า ในช่วงปี 2000-2005 นั้น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของอเมริกามันถูกมาก ถูกเสียจนอัตราดอกเบี้ยแท้จริงมันติดลบ นั่นหลายความว่า ดอกเบี้ยเงินกู้มันต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อน่ะครับ ทำให้หนี้บวกดอกของเรามันลดค่าลงทุกปี นอกจากนี้ราคาบ้านในอเมริกามันก็พุ่งสูงมาก ทำให้ใครที่ซื้อบ้านมาแล้วเอามาปล่อยต่อนั้น สามารถทำกำไรได้มากมาย หรือหากเราท่านอยากซื้อมาอยู่เองก็ตาม เมื่อผ่อนไม่ไหวก็ขายต่อได้ง่ายๆ แถมยังได้ราคางามอีก คนมันก็เลยกระเหี้ยนกระหือรืออยากซื้อบ้าน อยากเป็นหนี้ อยากกู้เงินกันมาก ถ้านึกภาพไม่ออก ให้นึกถึงตลาดคอนโดติดรถไฟฟ้าของเมืองไทยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ก็น่าจะพอให้เห็นภาพแบบง่ายๆได้
เอาว่าห้อง 30 ตร.ม. ที่สะพานควาย ซื้อเมื่อ 3 ปีที่แล้วในราคา 9 แสนบาท มาวันนี้ประกาศขายกันที่ 2.5 – 3 ล้าน เหอๆ ใครขายทันก็รวยสะดีอปลิ้นกันไปเลย
กลับว่าเรื่อง sub-prime ต่อ
เมื่อคนมันอยากกู้มากอย่างนั้น ตลาด blue ocean สำหรับการปล่อยเงินกู้ sub-prime loan มันเลยเกิดขึ้น ซึ่งตลาดนี้นอกจากมันจะสนองเรื่องซื้อบ้าน มันยังครอบคลุมไปถึงบัตรเครดิต สินเชื่อซื้อรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อื่นๆอีกมากมายจิปาถะไปหมด เรียกง่ายๆว่าขอให้มึงอยากกู้เถอะ เดี๋ยวกูสนองเอง มันเป็นกันถึงขนาดนั้น
เมื่อพี่เสนอ น้องก็สนอง
แล้วไอ้พวกพ่อมดทางการเงินที่จบ MBA จาก Kellog จาก Wharton มันก็คิด MODEL การเงินมาปั่นหนี้หาเงินกันใหญ่
แล้วมันจะไม่เละได้ยังไง
จริงไหม…
อ่าน Business Week
เค้าบอกว่าพวกจบ MBA และกำลังจะจบ ตายยย
แต่คนยังแห่ไปสมัครกันเพียบ
ถ้าไม่นับเรื่องวิกฤติที่กำลังเกิด มันก็หอมหวานดีอยู่นะ MBA เนี่ย
ฮ่าๆๆ
MBA ต้องมีเส้นใน ธ. ถึงรอด (เอาแบบใหญ่ๆ เลยด้วย เส้น)
จริงๆ ตอนพี่ ทำ C?? ได้ซัก 3 ปี ก็มีคนมาชวนพี่ไปอยู่
แบ๊งสีเขียวเหมือนกัน ถ้าไปตอนนั้น ได้ทำ e-bank แบบเต็ม teen
แต่ไม่เอาดีกว่า อ่ะ
เส้น ในระบบ ธ. ไทย แรงมาก !!