หลังจากทำงานมาได้จะราวๆ 8 ปีแล้ว (ครบรอบ 8 ปีเดือนพฤษภาคม)
ผมสามารถแยกคนทำงานออกได้เป็น 2 ประเภท แต่ทั้ง 2 ประเภทจะมีอะไรเหมือนๆกันคือ
เป็น “ลูกอีช่างติ“
แน่นอนว่าเราทุกคนเป็นคนแบบนี้ คนรอบตัวเราก็เป็นแบบนี้ รวมทั้งตัวเราด้วย
คนเราติก็เพราะไม่พอใจ ถ้าทางศาสนาพุทธเค้าเรียกว่า “วิภวตัณหา”
คือความไม่พอใจ ความไม่อยากอยู่ในสภาวะอย่างนั้น
เรื่องที่ติๆก็ไม่แคล้ว
เพื่อนร่วมงานไม่เก่ง ทำงานห่วย
ระบบบริษัทแม่งห่วย ทำให้กูงานยุ่งโดยใช่เหตุ
ลูกน้องแม่งทำงานห่วย ทำไมทำงานชุ่ยๆแบบนี้ คิดไม่เป็นหรือไงวะ
หัวหน้าปัญญาอ่อน เรื่องแค่นี้กูยังคิดได้เลย
แต่ที่ผมเห็นมาคือ มีคน 2 ประเภทจริงๆคือ
พวกแรก ติแล้วกลับบ้านนอน เพื่อที่วันต่อมาจะได้มาติอีก บ่นอีก ซึ่งไม่อยากบอกหรอกว่าคนพวกนี้ ชีวิตเป็นยังไง
พวกสองคือ ติแล้วแต่เอามาคิดต่อว่า แม่ง… จะทำยังไงดีวะให้มันดีขึ้น คือไม่มัวแต่ติให้เสียพลังงานไปเปล่าๆ
คืออะไรรอบตัวมันก็ไม่เข้าทางเราหมดแหละ แต่เราน่ะช่วยปรับปรุงมันได้
ผมคิดเสมอว่า
เพื่อนร่วมงานไม่เก่ง ก็สอนมันสิ หาทางฝึกให้มันเก่งสิ จะมานั่งด่าหาแมวน้ำอะไร
ระบบบริษัทมันห่วย ถ้าคุณไม่เสนอให้เค้าปรับปรุง ลองไปลงมือช่วยเค้าแก้ ก็ลาออกไปทำงานที่อื่นสิ นั่งอยู่ทำไม
ลูกน้องทำงานห่วย เออ… ลองคิดอีกมุมซิว่าทำงานมาก่อนเค้า เก่งกว่าเค้าน่ะ มีสมองคิดแก้ปัญหาเรืองนี้ได้ไหม หรือเป็นแต่ด่าแล้วก็กลับบ้านนอน
หัวหน้าปัญญาอ่อน ช่วยกันแก้ปัญหาสิ แก้ไม่ได้ก็ลาออกไปทำงานที่อื่น อย่านั่งเอาเท้าราน้ำไว้เฉยๆ
ไม่มีที่ไหนสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครเลวไปซะทุกอย่าง ไม่มีใครดีซะทุกด้าน
พยายามอยู่กับด้านดี ปรับปรุงด้านแย่
ชีวิตมันก็เท่านี้ไม่ใช่เหรอ
เพราะด่าๆ ติๆ ใครๆมันก็ทำได้ขอแค่มีปาก
แต่เรื่องแก้ปัญหาน่ะ มันต้องมีสมองนะ ใช้ปากไม่ได้