เรื่องปกติที่พบเจอบ่อยๆของตัวเอง คือการที่คนรอบข้างบอกให้เราทำอะไรสักอย่าง แล้วพบว่าเรายังไม่ได้ ซึ่งคนรอบข้างเราก็จะไม่เข้าใจ และถามไถ่ (ปนทวง) ว่า “ทำไมยังไม่ทำ …. อีก”
กรณีล่าสุดที่เจอคือ ไปงานแต่งงานเพื่อแฟน แล้วก็ไปถ่ายรูปงานเช้าให้เค้า ในฐานะตากล้องมือรอง (ที่ดันลืมเอากล้องที่จะถ่ายไป เลยต้องใช้ EOS M ที่เอาไว้เที่ยวแทน)
แล้วแฟนก็โดนทวงรูปมา
แล้วผมก็ยังไม่ได้ทำ (ฮา)
หรือแม้แต่การที่ตั้งใจจะเขียน โปรแกรม เขียน blog และอะไรต่อมิอะไรทั้งหลายแหล่ ก็พลอยไม่ได้ทำไปด้วยกันหมด
ผมพยายามหาสาเหตุจากก้นบึ้งของตัวเองว่า ทำไมมึงไม่เขียนวะ ทำไมแต่ก่อนทำได้วะ แล้วทำไมตอนนี้ทำไม่ได้ สุดท้ายผมเองเลยมานึกได้ว่า สมัยก่อนนั้น ตอนย้ายบ้านมาแรกๆ ผมตั้งโต๊ะคอมพิวเตอร์ไว้ที่ชั้นหนึ่งตรงพื้นที่ดูทีวีของบ้าน ทำให้เวลาแฟนนั่งดูละคร (ที่ผมไม่ดู) ไป ผมก็นั่งทำอะไรอย่างอื่นบนคอมพิวเตอร์ได้ แต่เมื่อสัก 2-3 ปีที่แล้ว ผมทำห้องหนังสือ+ห้องทำงาน จึงได้ย้ายโต๊ะทำงานไปไว้ชั้น 2 ให้เป็นสัดเป็นส่วน แต่ปรากฏว่า โอกาสได้ใช้งานน้อยมาก
เพราะ… ตั้งแต่ไปเรียนโท ผมจะกลับมาถึงบ้านก็ประมาณสี่ทุ่ม กลับมาก็ กินข้าว กินหนม ดูทีวีเล็กน้อย อาบน้ำ นอน พอวันที่ไม่ได้มีเรียน ก็นั่งอ่านหนังสือ ดูทีวีเล็กน้อย และ share free time with family ทำให้โอกาสได้เดินขึ้นไปนั่งห้องหนังสือน้อยซะยิ่งกว่าน้อย
พอมาปีนี้ ตั้งใจจะทำอะไรเพิ่มเติมอีกหลายอย่าง เพราะเรียนจบแล้ว จึงต้องมาปรับปรุงห้องทำงาน ให้มีบรรยากาศน่าทำงาน และอันเชิญภรรยา มาดูทีวีที่ห้องทำงาน จะได้ share free time ด้วยกันได้
ทีนี้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ย้ายมาอยู่ที่ห้องหนังสือ เป็นอะไรที่ลำบากมากครับ เพราะไอ้ living area เดิมนั้น มันเหมาะสมมากที่จะอยู่ชั้นหนึ่งของตัวบ้าน เพราะมันทำอะไรได้หลายอย่าง เช่น
คนนึงนอนดูทีวี คนนึงซักผ้าน ทำกับข้าว แบบสลับกันเดินไปมาได้ (คือแต่ละคนทำ 2-3 กิจกรรมในเวลาเดียวกัน)
คนนึงล้างรถอยู่หน้าบ้าน คนนึงดูทีวีหรือเล่น iPad เป็นต้น
ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ มันเหมาะสมกับ living area มาก เพราะที่แม้เราจะทำกิจกรรมแยกกัน เราการที่เรามองเห็นคนอื่นได้ตลอดเวลา ทำให้รู้สึกว่ายังอยู๋ด้วยกัน
แต่การย้ายไปสิงอยู่ห้องหนังสือ มันหมายความว่า เราต้องมั่นใจแล้วว่า เราจะนั่งอ่านหนังสือ ดูทีวี หรือจะทำงานแค่นั้นอย่างเดียว
ที่อ้างมาทั้งหมดนี้ เพื่อจะหาเหตุผลมาบอกตัวเองว่า
ทำไมงานมันไม่ค่อยออกเลยวะ T_T