จริงๆเป็นเรื่องที่อยากเขียนมานานแล้วตั้งแต่เข้าไปเรียนแรกๆ
แต่ก็สังวรตัวเองว่า เรียนยังไม่นานดี
ไอ้ครั้นจะมาบอกคนอื่นว่าดีไม่ดี มันก็คงดูแปลกๆ
แต่ตอนนี้เรียนมาจนสอบคอมพรีฯ เสร็จแล้ว IS ก็ส่งแล้ว
เกรดก็ออกครบแล้ว เลยคิดว่ามาเขียนสรุปๆไว้ดีกว่า
เผื่อว่ามีใครอยากหาข้อมูลเพื่อไปเรียน MBA จะได้ตัดสินใจว่า
จะเรียน MBA ที่จุฬาฯดีไหม
ทำไมเลือกเรียน MBA ที่จุฬาฯ
ผมเองเลือกจากโลเคชั่นก่อนเลยครับ คือตัวผมเองทำงานที่สีลม เลิกงานประมาณหกโมงเย็น ออกก่อนเวลาได้แค่ 1 ชม. ดังนั้นทางเลือกจึงเริ่มจากการหามหาวิทยาลัยที่เดินทางไปถึงได้ง่ายๆในเวลาไม่เกินชม.ก่อน ซึ่งรอบๆนี้ก็มีจุฬาฯ ตรงสามย่าน ของมหิดลที่วิภาวดีฯซึ่งสามารถขับรถไปถึงได้ใน 1 ชม. อีกที่น่าจะเป็น NIDA
พอมาเทียบเคียงดูแล้วทั้งเรื่อง Ranking ทั้งสถานที่ ชื่อเสียง อาจารย์ ผมเลยเลือกจุฬาฯเพราะเรื่องเดินทางที่นี่สะดวกที่สุด นั่ง MRT ประมาณ 15 นาทีก็ถึง ซึ่งก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกเพราะบางครั้งผมติดงานอยู่ ก็สามารถออกจากที่ทำงานตอน 5.45PM แล้วยังไปเรียนทันแบบฉิวเฉียด
หลักสูตรเป็นยังไง
หลักสูตรที่ผมเลือกเรียนเป็นหลักสูตร Young Executive ซึ่งค่าเรียนประมาณสามแสนบาท (ถูกกว่าหลักสูตร Executive ที่ค่าเรียนประมาณห้าแสนห้า) เรียนทั้งหมด 6 เทอมครับ โดยแต่ละเทอมจะเรียน 4 เดือน พอสอบปลายภาคเสร็จ ก็เปิดเทอมใหม่เลย โดยเรียนสัปดาห์ละ 3 วัน ซึ่งก็แน่นๆพอสมควร แต่พอเรียนๆไปก็ชิน
เนื่องจากหลักสูตรนี้ ผู้เรียนยังอายุไม่มาก อาจารย์เลยจะอัดความรู้วิชาการให้อย่างเต็มที่ครับ ซึ่งก็ทำให้เนื้อหาจะเข้มข้น แต่ข้อเสียก็คือกรณีศึกษาต่างๆ จะไม่จุใจเท่าไหร่ ยิ่งถ้าเจออาจารย์ที่พรรษายังไม่กล้าแข็ง ก็จะได้ความรู้วิชาการอย่างเดียว แต่ไม่ได้การถ่ายทอดประสบการณ์จากอาจารย์เท่าไหร่ครับ ดังนั้นการเลือกอาจารย์ที่สอบจึงมีความสำคัญอย่างมากในการเรียน
หลักสูตรที่ผมเรียนจะแบ่งเนือหาเป็นเรียนวิชาบังคับประมาณ 3 เทอมแรก แล้วเทอมที่ 4-6 จะเลือกวิชาเลือกได้ ยกเว้นเทอมที่ 5 ที่มีวิชาบังคับ 1 วิชาคือ การจัดการเชิงกลยุทธ์ ซึ่งรายละเอียดของแต่ละเทอม ได้แก่
- เทอม 1 เรียน สถิติ พื้นฐานบัญชีการเงิน แล้วก็พฤติกรรมองกรค์ (OB)
- เทอม 2 เรียน บัญชีบริหาร เศรษฐศาสตร์ แล้วก็ Decision Making
- เทอม 3 เรียน Financial Management, Marketing Management, Operational Management
- เทอม 4 ผมเลือกเรียน Investment , Consumer Behavior แล้วก็ Competitive Marketing Strategies
- เทอม 5 นอกจากวิชาบังคับ Strategic Management แล้ว ผมเลือกเรียน Enterprenuer แล้วก็วิชา E-Commerce
- เทอม 6 เลือกเรียนวิชา IMC และ Leadership
ซึ่งตามหลักสูตรแล้ว MBA ของจุฬาจะไม่มีเลือกเรียนวิชาเอก โดยจะเปิดโอกาสให้นิสิตเลือกวิชาเองตามความชอบ ซึ่งข้อดีมันก็มีครับ เพราะสำหรับคนที่ยังไม่รู้อะไรมาก ก็เรียนไป 1 ปีค่อยมาตัดสินใจว่าจะไปสายไหน (อย่างผมเลือกไปสายการตลาด เลยเรียนวิชาเกี่ยวกับการตลาดเป็นหลัก) แต่ก็มีข้อเสียว่า ถ้าใครไม่มีแผนในใจก็จะกลายเป็นการเลือกเรียนสะเปะสปะ จนสุดท้ายอาจจะรู้แบบเป็ดไป
จริงๆวิชาอีกสายของที่นี่คือวิชาสายการเงิน ซึ่งจากที่ฟังเพื่อนๆในรุ่นมาก็เสียงตอบรับว่าดีนะครับ แต่สายที่ค่อยข้างไม่มีวิชาเยอะ หรือไม่ค่อยโดนคือสาย Operation Management
ความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับหลักสูตร
ผมเองคิดว่าหลักสูตรของที่นี่ค่อนข้างตอบสนองสภาพธุรกิจปัจจุบันดีครับ แต่ไม่ตอบสนองธุรกิจสมัยใหม่มากนัก คือหลักสูตรจะสะท้อนภาพการทำธุรกิจผลิต ซื้อมาขายไป เและธุรกิจบริการทั่วไปป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นหากใครสนใจธุรกิจสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Digital, VC หรือธุรกิจที่เป็น Trend ใหม่ๆในตอนนี้ หลักสูตรของที่นี่จะไม่รองรับครับ มีแค่วิชา e-commerce ที่เน้นเรื่องพวกนี้ แต่ก็ไม่ใช่วิชาบังคับ และมีให้เลือกแค่วิชาเดียว ซึ่งทำให้คนที่เรียนต้องเอาความรู้พวกนี้ไปประยุกต์ต่อเอง ดังนั้นใครที่สนใจอะไรใหม่ๆอาจจะต้องหาหนังสือต่างๆมาอ่านเพิ่มเติมเองครับ
บรรยากาศการเรียนเป็นยังไง
เนื่องจากผมเรียน Young-Ex ซึ่งมีเงื่อนไขแค่ต้องมีประสบการณ์ทำงานเกิน 3 ปีขึ้นไปก็เรียนได้แล้ว (แต่ต้องสอบผ่านเข้ามาได้นะ) ทำให้อายุเฉลี่ยคนเรียนอยู่ประมาณ 27-28 ปี ทำให้คลาสดูเฮฮาดีครับ ทุกคนค่อนข้างเปิดรับความคิดคนอื่น แล้วก็สนิทกันเร็ว นี่ยังเสียดายอยู่ว่า ถ้ามาเรียนเร็วกว่านี้สัก 3-4 ปี น่าจะมันมาก (ตอนไปเรียนผมอายุ 33 แก่เป็นอันดับสองของรุ่น)
แล้วก็ Young-Ex เป็นหลักสูตรที่ลือว่าอาจารย์เอ็นดูมากที่สุด ทำให้การเรียนก็เป็นไปอย่างกันเอง ไม่ค่อยเครียด
แล้วที่นี่เน้น Presentation มาก เรียกได้ว่ากว่าจะเรียนจบ น่าจะ Present งานกันเกิน 30 ครั้งได้ ซึ่งจากบางคนทักษะการ present งานธรรมดาๆ กลายเป็นเจ๋งได้เลยทีเดียว
การเรียนจะมีทั้ง PowerPoint และใช้ video ต่างๆประกอบ ซึ่งทำให้คนเรียนสนุกครับ อย่างวิชา OB นี่ ถึงขั้นตอน present เราเขียน Script, Story Board แล้วก็ถ่ายหนังมา Present กันเลยทีเดียว
คุ้มค่าที่มาเรียนไหม
จริงๆแล้วความรู้ที่อาจารย์สอน สามารถหาหนังสือมานั่งอ่านเองได้ครับ การนั่งอ่านหนังสือเอง น่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปีในการอ่านและทำความเข้าใจทั้งหมด โดยไม่ต้องเสียเงิน 3 แสนบาท แต่สิ่งที่ต่างกันคือ การได้เรียนกับอาจารย์ที่มีประสบการณ์ (หลายท่านสอนสนุกมาก และให้ความเอ็นดูนิสิตมากจนทุกคนผูกพันธ์กับอาจารย์มากๆเลย) การได้บังคับตัวเองให้อยู่ในสภาวะที่ต้องมาเรียนเกือบทุกวันเป็นเวลาสองปี การได้มาพบเจอคนอื่นๆนอกเหนือจากงานตัวเอง ทำให้ได้ทั้ง connection และก็เปิดกะโหลกกะลาของตัวเองดีมาก
ซึ่งสำหรับผมเองถือว่า ทั้งเวลาและสตุ้งสตางค์ที่เสียไป คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่งครับ