ช่วงนี้ผมปิด facebook ไม่เข้ามา เกือบเดือนแล้วครับ
ที่ไม่เข้า fb ก็เพราะว่า ไม่สามารถตัดอัตตาของตัวเองออกได้ ไอ้ที่บอกว่าตัดไม่ได้ก็คือ ผมมันเป็นคนชอบแสดงความเห็น แล้วก้ชอบสอดรู้ไปด้วยในตัวพร้อมๆกัน แล้วหลายครั้งที่ไปเห็นความเห็นที่ผมไม่เห็นด้วย ก็อยากจะแสดงความเห็นตัวเอง (มันจะ “เห็น” อะไรหนักหนา) แต่บางครั้งก็รู้ตัวว่า ถ้าโยนความเห็นตัวเองไปล่ะก็ วงแตกแน่ๆ
มันเลยทำให้ผมเกิดอาการอัดอั้น เหมือนคนอยาก “อึ” แล้วไม่ได้อึ พอไม่ได้อึมันก็ทำให้ระบบร่างกายของผมเพลียเสียหาย ซึ่งพอมานั่งนึกๆดูแล้วก็พบว่า มันก็เพราะใจเราเองน่ะล่ะที่ไปยึดติด ถือมั่น อยากอวดภูมิ แล้วความเห็นผมถือว่าเป็น “ภูมิ” นะครับ แล้วว่ามันอาจจะเป็นความเห็นไม่เข้าท่าก็เถอะ เพราะถ้าเราไม่มีภูมิ เราคงไม่ออกความเห็นหรอก จริงไหมครับ
แต่แน่นอนว่า เพราะผมยังเป็นมนุษย์กิเลสหนาคนหนึง ครั้นจะไปตัดใจให้ไม่ไปคิดตาม ยึดติด อยากระบาย อยากออกความเห็นคมๆแบบโชะเดียว ขาดสะพายแล่ง ก็ทำไม่ได้ เพราะบางคนก็รู้จักกัน เพราะบางคนบางทีเค้าก้อาจจะไม่เข้าใจพาลหงุดหงิดใจใส่เราเอา ผมจึงมาคิดว่า เมื่อไม่สามารถปล่อยวางไม่ให้ยึดติดได้ ก็ตัดใจไม่เข้าไปข้องเกี่ยวมันเลยน่ะล่ะ จะง่ายกว่า
ดังนั้นการไม่เข้า facebook มันเป็นอะไรที่ง่ายกว่าการห้ามใจแน่ๆ ผมเลยเลือกทำ
อาการไม่อยากเข้าไปข้องแวะคนอื่นนี่มันมีเป็นช่วงๆครับ โดยเฉพาะที่มีการแสดงความเห็นทางการเมืองเมื่อไหร่ facebook ผมเดือดเมื่อนั้น เดือดเพราะเพื่อนๆผมเป็นคนชั้นกลางที่สมประโยชน์จากสภาพปัจจุบันของสังคมไทยเป็นที่สุด และตอนนี้กำลังอยู่ในอาการไม่เข้าใจว่า นายกฯที่หน้าตาดี ชาติตระกูลดี พูดจาดีขนาดนี้ ทำไมไปแพ้เลือกตั้ง
เมื่อเพื่อนไม่เข้าใจทั้งๆที่มันเข้าใจได้ง่าย ทำให้ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าเพื่อนมันทำไมไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจมันมากๆเข้าผมก็มานั่งคิดว่ามันทำไมไม่เข้าใจ(วะ) ทีนี้พอผมคิดได้ว่าเพื่อนน่าจะไม่เข้าใจเพราะอะไร ผมก็อยาก “ยูเรกา” บอกชาวบ้านเค้ามั่งว่า “เฮ้ย กูรู้แล้วนะว่าทำไมพวกมึงไม่เข้าใจ”
แต่.. ผมก็ไปออกความเห็นไม่ได้ เพราะมันก็จะทำให้อะไรต่อมิอะไรเดือดอีก
สุดท้ายผมก็มาหงุดหงิด งุ่นง่านเหมือนคนไม่ได้อึมาหลายวันอีก
หลายวันนี้ก็เลยต้องมาบอกตัวครับว่า
เฮ้ยยยย อย่าคิดมาก
พักนี้เป็นกันหลายคนครับผมก็อึดอัดเหมือนกัน ถือเป็นการฝึกจิตให้เข้มแข็ง