สืบเนื่องจากที่ผม tweet ออกไปครับว่า
จนวันนี้เรื่องก็คลี่คลายแล้ว เลยขอเอามา blog เก็บไว้หน่อยเพื่อให้เกิดความชัดเจนกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และในส่วนของผมเองก็ถือว่าได้เก็บไว้เป็นสาระหนึ่งของชีวิตที่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการร้องสิทธิ์ของผู้บริโภคผ่าน social network
จุดเริ่มต้น: น้องชายกำลังซื้อบ้านและไปดูโครงการในเครือแสนสิริ
เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนนี้น้องชายผมเค้าจะซื้อบ้านครับ เลยลากผมไปช่วยดูโครงการให้ เนื่องจากมีประสบการณ์ในการดู จอง ทิ้งเงินจอง (ฮา) มาก่อน ซึ่งถือว่าผมเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งในการดูและตรวจสอบโครงการ… อันนี้ผมพูดเองนะครับ ฮ่าๆ จริงๆคือน้องมันโดนท่านแม่สั่งมาว่า ห้ามจองโครงการไหนทั้งสินจนกว่าผมจะเคาะว่าโอเค (คือผมเป็นผู้ปฏิบัติราชการแทนท่านแม่อีกที เพราะท่านแม่ไม่สะดวกมาดูเอง) งานนี้เราก็เลยสุยลุยถั่วกันไปหมด ซึ่งตามสไตล์ผมคือ “เราจนเกินกว่าจะใช้ของชั้นสอง” จึงดูโครงการของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรพย์และมีชื่อเสียงดีอย่างเดียว สุดท้ายตัดไปตัดมาเหลือแค่แสนสิริ กับแลนด์ (ส่วนพฤกษาขอ … ไม่พูดถึง)
โครงการที่น้องชายไปดูและชอบมาคือ Habitown@วัชรพล ซึ่งเป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์สองชั้นในเครือแสนสิริ ราคาก็ประมาณ 2.4 ล้านบาท ซึ่งอันนี้ก็บานปลายหน่อย เพราะตั้งงบไว้สัก 2 ล้าน (แต่สุดท้ายไปจบที่ 3.6 ล้านเลย T_T)
ด้วยตัวผมเองชอบแบบบ้านของแสนสิริอยู่แล้ว พอดีโครงการนี้แล้วดูการจัดผังการออกแบบบ้านเนี่ย ผมชอบเลยครับ เลยให้ความเห็นน้องชายไปว่าแบบบ้านดี แต่การก่อสร้างถ้าดูจากบ้านตัวอย่างแล้วไม่ค่อยเนี๊ยบเท่าไหร่ จุดเล็กๆน้อยๆที่ควรเก็บรายละเอียดยังแย่อยู่ ซึ่งอันนี้สำคัญนะครับ
ส่วนมากบ้านตัวอย่างจะถูกตกแต่งให้สวยงามชวนฝันอยู่แล้วครับ ดังนั้นการที่จะวิเคราะห์ความสามารถของทีมก่อสร้างเบื้องต้นนั้น ให้สังเกตุจุดที่เป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่แสดงถึงความ “เนี๊ยบ” ของทีมก่อสร้างครับ จุดพวกนี้จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้เพราะไม่ได้เป็นจุดชี้เป็นชี้ตายว่างานผ่านไหม ส่วนใหญ่ลูกค้าก็ไม่ได้สังเกตุ แต่มันจะทำให้เรารู้เลยว่า ทีมก่อสร้างเป็นทีมที่ละเอียดและใส่ใจไหม ซึ่งถ้าเรื่องเล็กๆแบบนี้ เค้ายังจัดการดี ก็ไว้ใจในเรื่องอื่นๆได้เลยครับ
แม้ผมจะมองว่าหมู่บ้านนี้ทีมช่างยังไม่ถึงจุดที่อยากได้ แต่ก็บอกน้องชายว่า โอเค ผ่าน แต่ตอนตรวจรับบ้านต้องเขี้ยว และเชคดีๆ แต่ที่ติดใจกันมากทั้งผมและน้องชายคือ หมู่บ้านนี้มันต้องผ่านห้าแยกวัชพลที่ร่ำลือกันว่ารถติดแบบระเบิดระเบ้อ ติดมันตลอดเวลา เลยทำให้น้องชายผมคิดหนักพอสมควร แต่เราก็ตัดสินใจคุยกับตัวแทนฝ่ายขายให้ยื่นทำ pre-approve ให้ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากเพราะ เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายแจ้งว่า แสนสิริไม่มีนโยบายคืนเงินจองหรือเงินดาวน์ให้ลูกค้า หากลูกค้ากู้ไม่ผ่าน ดังนั้นเราเองจึงต้องตรวจสอบความสามารถในการก่อหนี้ของเราให้ดี
ซึ่งเป็นเหตุที่มาของปัญหาครั้งนี้
ขยับต่อมา: ตัวแทนฝ่ายขายของแสนสิริแจ้งว่ายื่นกู้ได้พอดี
หลังจากเรายื่นเอกสารทางการเงินให้ตัวแทนฝ่ายขายของแสนสิริช่วยเดินเรื่อง Pre-Approve ให้ ซึ่งแสนสิริได้ยื่นให้ธนาคารกรุงไทย แล้วก็โทรกลับมาแจ้งผลกับน้องชายผมว่า วงเงินผ่านได้ 2.4 ล้านพอดี ซึ่งเราก็ได้ถามย้ำว่านี่คือวงเงินสูงสุดหรือเพราะธนาคารอนุมัติตามราคาบ้านให้ ทางตัวแทนฝ่ายขายก็ยืนยันว่า “นี่สูงสุดแล้วค่ะ”
ครับ.. ถ้าสูงสุดได้เท่านี้ก็งงเต๊กล่ะครับ เพราะจากที่เราคำนวณกันเองคร่าวๆ น่าจะได้ประมาณ 4 ล้าน ซึ่งถ้าคนเงินเดือนเท่าน้องชายผมซื้อบ้านได้แค่ 2.4 ล้านล่ะก็ ต่อให้ท่านนายกฯมาร์ค ก็คงไม่มีปัญญาซื้อบ้านราคา 6 ล้านบาทเป็นแน่ ดังนั้นเราจึงบอกให้เซลส์ลองยื่นที่อื่นดู เพราะเราก็เล็งบ้านเดี่ยวของแสนสิริไว้ เลยอยากรู้วงเงินสูงสุดที่เราสามารถกู้ได้ และทางตัวแทนฝ่ายขายก็รับปาก และจะยื่นเรื่องให้ธนาคารอื่นให้ แต่ต้องให้เราเข้าไปเซ็นต์เอกสารยื่นขอทำ Pre-Approve ของธนาคารนั้นๆที่โครงการ ซึ่งช่วงนั้นพอดีน้องชายผมค่อนข้างยุ่งและอยากให้เรื่องเดินเร็ว เลยแจ้งเจ้าหน้าที่ไปว่าไม่สะดวกเข้าไปที่โครงการ ให้ส่งเมสเซนเจอร์วิ่งเอาเอกสารมาให้แทนล่ะกัน
จากนั้น เราก็ รอ รอ รอ แล้วก็รอ โทรไปตามก็แล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครเข้ามาเอาเอกสาร จนวันพุธที่ 27 เมษาที่ผ่านมาก็ได้รับการติดต่อจากโครงการ
เหตุมันเริ่มจากตรงนี้: ตัวแทนฝ่ายขายแสนสิริแจ้งว่า Pre-Approve ผ่านแล้ว แต่… เรายังไม่ได้เซ็นต์อะไรเลย
ช่วงสายของวันพุธที่ 27 เมษา ประมาณช่วงสายๆ อยู่ๆตัวแทนฝ่ายขายคนเดิมก็โทรมาหาน้องชายผมเพื่อแจ้งว่า ธนาคารที่ยื่นเรื่องไปได้แจ้งกลับมาแล้วว่า ผลการ Pre-Approve ผ่าน ได้วงเงินประมาณ 3 ล้านบาท รอแค่ผลทางการออก
คำถามที่น้องชายผมถามกลับไปคือ ทางเรายังไม่ได้เซ็นต์เอกสารอะไรให้เลย ยังไม่มีเมสเซนเจอร์วิ่งเอาอะไรมาให้เซ็นต์เลย ทำไมธนาคารสามารถเดินเรื่องได้ ซึ่งทางตัวแทนฯตอบว่า ธนาคารสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องใช้ลายเซ็นต์จากเรา อันนี้ยิ่งทำให้เรางงใหญ่เลยครับ เราเลยถามย้ำว่า “เครดิตบูโรก็สามารถเชคได้โดยไม่ต้องมีลายเซ็นต์เหรอครับ” ทางตัวแทนฯยังยืนยันเหมือนเดิมว่าธนาคารสามารถทำได้
แต่เพราะความล่าช้าของทางแสนสิริเอง ทางน้องชายผมก็ดันไปโดนใจโครงการอื่นของเจ้าอื่นมาแล้ว เลยได้แต่แจ้งตัวแทนฯไปว่า เราได้จองโครงการอื่นไปแล้ว จากนั้นก็วางสายกันไป พร้อมกับงงๆเล็กน้อยว่า ทำไมธนาคารนั้นมันเทพจัง สามารถเชคเครดิตบูโรโดยที่ไม่ต้องให้เราเซ็นต์เอกสารได้ด้วย
เหตุพลิกผัน: เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลธนาคารโทรมา พร้อมทั้งบอกว่า ยังไม่ได้เดินเรื่องอะไรเลยจ้า…
จากนั้นอีกสักพัก ก็มีโทรศัพท์มาครับ แจ้งว่ามาจากเจ้าหน้าที่ธนาคาร โทรมาเพื่อขอตรวจสอบข้อมูลที่เรายื่น Pre-Approve ไป ซึ่งน้องชายผมก็ถามว่า อ้าว… ไหนเซลส์โทรมาบอกว่าผ่านแล้วล่ะ รอแค่ผลทางการออก ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ตรวจว่าผลยังไม่ออก และเอกสารเพิ่งส่งเข้ามาที่สำนักงานเมื่อเช้านี้เอง แล้วเธอก็เพิ่งจะโทรมาตรวจสอบข้่อมูล มันจะผ่านแล้วได้อย่างไรจ๊ะ…
จากนั้นน้องผมเริ่มเอะใจเลยถามว่า แล้วเอกสารทั้งหมดมีลายเซ็นต์ไหมครับ เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่ามีลายเซ็นต์เรียบร้อย ทั้งน้องผมและแฟน!!! ห่านล่ะครับ ห่านดินกินหญ้า ห่านฟ้ากินยุง… ก็ในเมือยังไม่มีใครเอาเอกสารมาให้เซ็นต์ แล้วเอกสารมันมีลายเซ็นต์ได้ยังไง และพอเจ้าหน้าที่รู้เรื่องดังนั้นเลยบอกว่า
“เอ… ลายเซ็นต์มันก็ดูไม่เหมือนกันจริงๆด้วยค่ะ” จ้า… ความรู้สึกช้าเนาะ
ครับ … เรื่องจากนั้นเราเลยแจ้งไปว่าเราไม่ได้เซ็นต์เอกสารอะไรทั้งสิ้น และเอกสารน่าจะโดนปลอมลายเซ็นต์ เจ้าหน้าที่ธนาคารจึงแจ้งว่าจะทำการยกเลิกเรื่องให้
จากนั้นอีกสักพักเจ้าหน้าที่ธนาคารประจำโครงการของแสนสิริ จึงได้โทรกลับมาหาน้องขายผมเพื่อแจ้งว่า ผลการอนุมัติผ่านแล้วจริงๆ รอแค่ผู้ใหญ่เซ็นต์อนุมัติสุดท้าย ก็สามารถใช้วงเงินได้เลย และพอเธอทราบเรื่องดังนั้นเลยแจ้งฝ่ายขายโครงการก่อน เพื่อให้โทรมาแจ้งผลกับน้องชายผม (เหมือนคาบข่าวซีฟมาบอกก่อน) น้องชายผมเลยยิงหมัดตรงไปว่า
“แต่เมื่อกี้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลเพิ่งโทรมา และบอกว่าเพิ่งได้รับเอกสารเมื่อเช้า ยังไม่ได้เดินเรื่องอะไรเลยครับ แล้วเรื่องจะผ่านจนไปรอผู้ใหญ่เซ็นต์ในขั้นสุดท้ายได้ยังไง”
จากนั้น ในเย็นวันถัดมาน้องชายผมก็เลยเอาเรื่องมาเล่าให้ฟัง ระหว่างคุยกันก็แสดงความไม่พอใจชัดเจน เพราะคิดว่าโดนเซลส์หลอกให้ไปจองเพราะอยากได้ยอด แล้วก็บ่นๆว่า เออ… ถ้าเผลอไปจองแล้วผลจริงๆมันไม่ผ่าน เราก็เสียเงินจองฟรีๆสิ แล้วก็ไม่รู้เซลส์ทำอย่างนี้กับลูกค้ามากี่คนแล้ว
และไอ้ประโยคที่ว่า “ไม่รู้ว่าเซลส์ทำแบบนี้กับลูกค้ามากี่คนแล้ว” นี่ล่ะครับที่มันวิ่งวนๆอยู่ในหัวผมตั้งแต่ตอนคุยกัน ถึงแม้ความเสียหายกับเราเองยังไม่เกิด แต่เราก็ไม่อยากให้มีเรื่องแบบนี้เกิดกับคนอื่น แต่ แต่ แต่ เราก็ไม่อยากยุ่งยากมีเรื่องที่ต้องมาเสียเวลาทำมาหากินไปร้องเรียนตามเรื่องเหมือนกัน
ระหว่างที่คิดๆไป คิดอะไรไม่ออก ผมก็เลยบ่นๆผ่าน twitter ไปตามทีเห็นตอนเริ่ม… จากนั้นพลังของ social network ก็สำแดงเดช
(ยาวไปแล้ว ขอต่ออีกตอนล่ะกันครับ)