ผมกำลังจะมีหนี้ครับ
กำลังจะซื้อบ้าน ราวๆสิ้นเดือนนี่้ ซึ่งตอนนี้ก็จ่ายเงินจองไปแล้วจำนวนหนึ่ง
มีเรื่องยุ่งยากต้องจัดเตรียมหลายอย่างตั้งแต่ ไปดูบ้าน ดูทำเล ดูบ้านจริง (ได้ดูบ้านจริงผมเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ผมตั้งไว้ว่า ต้องซื้อบ้านที่สร้างเสร็จแล้วเท่านั้น) เตรียมเอกสารเพื่อขอสินเชื่อ เตรียมงบ เตรียมเงิน เตรียมปรับสภาวะการใช้จ่าย
ยังไม่นับรวมการเตรียมเข้าอยู่อีก ซึ่งมีทั้งเลือกเฟอร์ ติดแอร์ โทรศัพท์ UBC อีกจิปาถะ
ก่อนจะเล่าเป็นมหากาพย์ ตอนนี้เลยเอาเรื่องง่ายๆที่คนส่วนมาก ไม่รู้หรือถึงรู้ก็เข้าใจผิดมาเล่าก่อน นั่นคือระบบการคิดดอกเบี้ยของธนาคารและการเลือกระยะเวลาในการผ่อนชำระหนี้
ก่อนจะเข้าเรื่อง ผมเกริ่นก่อนเลยครับ
ผมผ่อนบ้าน 40 ปีครับ….
รู้สึกยังไงครับ?
ถ้าคุณตกใจว่า
ผ่อนบ้าอะไรนานขนาดนั้น ไม่แก่ตายก่อนเหรอ
หรือ
อย่างนี้ดอกเบี้ยก็กินตายสิ ผ่อน 25 ปีก็นานพอแล้ว
ครับ… ถ้าคุณคิดอะไรราวๆนั้น ผมแนะนำให้อ่านต่อ
แต่ถ้าคุณคิดว่า ธรรมดา แปลกตรงไหน ก็ต้องแบบนี้อยู่แล้ว ใครๆก็เลือกผ่อนให้นานที่สุดเท่าที่แบงค์มันให้
หรือคุณคิดมากกว่านั้นอีกว่า เฮ้ย… แม่ง แบงค์ไหนวะให้ตั้ง 40 ปี บอกมั่งดิ จะไปกู้มั่ง
ผมแนะนำให้รออ่านตอนต่อไปเลยครับ เพราะคุณเข้าใจระบบดอกเบี้ยธนาคารดีแล้ว
คำแนะนำสำหรับการกู้เงินธนาคารคือ จงกู้ให้ระยะเวลานานที่สุดเท่าที่นายธนาคารท่านจะกรุณา
ครับ ให้นานที่สุดนะครับ ผ่อน 100 ปีได้ ก็ให้เลืิอก 100 ปี
อย่าตกใจครับ เพราะไม่มีนายธนาคารท่านไหน ให้คุณเป็นหนี้นานขนาดนั้นครับ เพราะอย่างนั้นเมิงก็จะตายก่อนจริงๆ แล้วหมาที่ไหนจะเอาเงินมาคืนเค้าล่ะ
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ต้องบอกก่อนว่า อันดอกเบี้ยนั้น เค้ามีง่ายๆอยู่ 2 แบบ คือ แบบ Fix และแบบลดต้นลดดอก
แบบ Fix คืออะไร ดอกเบี้ยแบบนี้ก็เหมือนเวลาคุณไปกู้เงินซื้อรถ ซึ่งเค้าจะคิดดอกเบี้ยคุณจากจำนวณปีที่คุณจะผ่อนชำระคูณด้วยดอกเบี้ยต่อปี
เช่น ดอกเบี้ย 3.5% ต่อปี แล้วท่านพี่ไม่มีเงิน แต่อยากมีรถ Jazz ขับสักคัน เลยขอผ่อนยาวไปเลย 84 เดือน (สิ้นคิดมาก ขอบอก) ตีซะว่า Jazz ราคาหลังจากหักดาวน์แล้วเหลือ 6 แสน
มันจะออกมาสูตรนี้ครับ
ดอกเบี้ย 3.5 x 7 = 24.5% ต่อ 5 ปีหรือ 84 เดือน
ดังนั้นคุณต้องผ่อนต่อเดือน 600,000 x 1.245/84 = 8,893 บาท
ทำให้คุณต้องจ่ายดอกราวๆ 147,000 บาท
แน่นอนว่าระบบการคิดดอกเบี้ยแบบนี้ ยิ่งคุณผ่อนสั้นเท่าไหร่ คุณยิ่งเสียดอกเบี้ยน้อยลงเท่านั้น
แต่แบบลดต้นลดดอกไม่เป็นแบบนั้น ลดต้นลดดอกนั้น แบงค์ไม่สนว่าคุณจะผ่อนกี่ปี เพราะเค้าจะคิดดอกเบี้ยแบบเดือนต่อเดือน แล้วคุณจ่ายเกินดอกเบี้ยมาเท่าไหร่ เค้าก็ลดต้นลง แล้วก็มาคิดดอกเบี้ยใหม่เดือนถัดไป
เช่น
คุณก็แบงค์ 2.89 ล้าน ซึ่งคุณจะผ่อน 10 ปี 20 ปี 30 ปี หรือ 100 ปี แบงค์จะทำเหมือนกันหมดคือ คิดว่าเดือนแรกคุณต้องจ่ายดอกเบี้ยกี่บาท
เงิน 2,890,000 บาท ดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ 7.25%
หมายความว่าเดือนแรกคุณจ่ายดอกเบี้ยแบงค์ 2,890,000 x (30/365) x 0.0725 = 17,222 บาท
ทีนี้แบงค์จะมาคิดต่อว่า คุณต้องการให้หนี้หมดภายในกี่ปีเป็นอย่างมาก ถ้าคุณบอกว่า 40 ปี หรือ 480 เดือน แบงค์ก็จะมาคิดว่าต้องให้คุณลูกหนี้จ่ายเพิ่มเดือนละกี่บาท หนี้มันถึงจะหมด ซึ่งอาจจะ 2-3-4-5 พัน แล้วแต่ปีที่คุณจะเลือก
เอ…แล้วอย่างนี้ยิ่งผ่อนนานยิ่งเสียดอกเยอะสิ
ถ้าอ่านมานานขนาดนี้แล้วยังสงสัยแบบนี้อยู่ แสดงว่าคุณยังไม่อิน
ตัวเลขที่ต้องผ่อนต่อเดือนที่แบงค์บอกเรานั้น เป็นเพียงตัวเลขขั้นต่ำที่แบงค์บังคับให้เราจ่ายเท่านั้น นั่นหมายความว่า เราสามารถจ่ายเกินที่ธนาคารกำหนดได้(ตามเงื่อนไขของธนาคาร)
นั่นคือ ถ้าผ่อน 40 ปี เค้าให้จ่าย 18,000 บาท แต่ถ้าจะผ่อน 25 ปี ต้องจ่าย 22,500 บาท คุณลูกหนี้ก็สามารถจ่าย 22,500 บาทได้ ไม่มีใครว่า เพราะอย่างที่บอกครับ ว่าแบงค์คิดดอกเบี้ยคุณทุกเดือน ไม่ใช่ทุกปีหรือครั้งเดืยวในตอนแรกเหมือนแบบ Fix
แล้ว…. ทำไมต้องบอกให้ผ่อนนานที่สุด 100 ปีได้ยิ่งดี
อย่างที่บอกไปแล้วว่า นี่คือเงินขั้นต่ำที่แบงค์บังคับให้คุณจ่าย นั่นหมายความว่า ยิ่งต่ำยิ่งดี เพราะเมื่อไหร่ก็ตาม ที่คุณมีปัญหาต้องใช้เงิน คุณสามารถจ่ายแค่ขั้นต่ำได้ทันที
แล้วคุณลูกหนี้จะไปลากเส้นขั้นต่ำมันขึ้นมาสูงๆทำไมล่ะครับ ในเมื่อคุณจะบอกว่าจะผ่อน 10 ปี แบงค์ก็ไม่ได้ลดดอกเบี้ยให้คุณ แถมส่วนใหญ่ชอบขึ้นดอกเบี้ยด้วยซ้ำเพราะได้กำไรน้อยลงเลยต้องคิดดอกแพงขึ้น
เลือกให้นานที่สุดเข้าไว้ แล้วเอาเงินไปตัดยอดเอาครับเมื่อคุณมีเงิน
ถ้าวันไหนเกิดชอร์ต ไม่มีเงิน ก็จ่ายขั้นต่ำเท่าที่เค้าบังคับให้จ่าย
ปล. คุณรู้หรือไม่ว่า ปกติเวลาคำนวณเงินขั้นต่ำที่ต้องจ่าย แบงค์จะบวกดอกเบี้ยขึ้นมา 1% จากดอกเบี้ยปกติอยู่แล้ว เพื่อเผื่อเป็น Buffer ไว้ในกรณีที่ดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นทำให้คุณยังไม่ต้องเพิ่มวงเงินที่ผ่อนต่อเดือน ดังนั้นหากคุณเลือกผ่อน 30 ปี แล้วจ่ายขั้นต่ำตลอด คุณก็จะหมดนี้ได้ในเวลา 25-26 ปี อยู่แล้ว อาเมนนนนนน