อาทิตย์ที่แล้วไปสอนหนังสือที่ภูเก็ตมาครับ
เค้าให้ไปสอน 2 วัน คือวันที่ 12-13 มกราคม 2551 นั่นแน่… บอกซะเป็นทางการ
อารมณ์เหมือนไปเป็นอาจารย์พิเศษ (จริงก็ไปเป็นอาจารย์พิเศษนั่นแหละ) ซึ่งเรื่องที่สอนก็เป็น OOA & OOD เป็นคอร์สที่เคยเอามาสอนน้องๆที่บริษัท เลยพอสอนได้
ไปสอนที่นี่ได้อะไรหลายอย่างมากครับ อย่างแรกคือได้ไปเที่ยวโดยได้ pocket money มานิดหน่อย พอให้เที่ยวได้สนุก ที่ได้มากๆคือได้กลับไปมองระบบการศึกษาของเราในมุมของคนที่ทำงานแล้ว เห็นอะไรมามากหน่อย
อย่างแรกที่ผมชอบมากคือ อาจารย์ที่ มอ. ภูเก็ตแต่ละท่านมีความกระตือรือร้นในการสอนลูกศิษย์มาก ไม่ว่าจะเป็นความเป็นกันเอง ความเอาใจใส่ ซึ่งอาจจะมาจากว่าอาจารย์ที่ผมพบเจอทั้ง 2 ท่านยังอายุไม่มาก เลยไม่ห่างจากลูกศิษย์มาก ความเข้าใจในตัวเด็กวัยรุ่นเลยยังมีอยู่สูง
อย่างที่สองที่ประทับใจคือเด็กๆที่นี่ ความใจเอาสูงมาก อย่างวันที่ผมสอนเป็นวันเสาร์อาทิตย์ที่เด็กๆต้องมาเรียนต้องแต่ 9 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น แล้วเด็กๆยังต้องมีเรียนต่อกันอีกตอน 5 โมงเย็น แถมคอร์สที่เรียนๆกันนี่เป็นคอร์สพิเศษนอกเหนือจากหลักสูตรปกติอีก
เรียกว่าขยันกันโคตรๆ
แต่สิ่งที่คงอยู่คู่การศึกษาไทยก็ยังคงอยู่ ผมมองเห็นอย่างหนึ่งที่ชัดเจนมากคือ อาจารย์ที่ผมพบเจอหลายๆท่านในมหาวิทยาลัย ไม่มีประสบการณ์ในการทำงานในระบบการทำงานของเอกชน ระบบที่ตัวเองกำลังต้องสอนให้ลูกศิษย์ไปเผชิญ ทำให้อาจารย์ไม่รู้ว่าควรจะเตรียมอะไรให้กับลูกศิษย์ดี การสอนหลายอย่างมันเลยกลายเป็นว่าพยายามให้เด็กรู้ให้มากที่สุด เผื่อว่ามันจะต้องใช้
ผมเห็นเด็กๆสาย IT เกือบทุกมหาวิทยาลัยในตอนนี้ ต้องสอบ Cert. ก่อนเรียนจบ นัยว่านี่เป็นสิ่งที่ตลาดต้องการ แต่เรื่องมันกลับกลายเป็นตลกร้ายก็คือว่า
ปีแรก เมื่อเด็กมี Cert. เดินเข้ามาในบริษัทแล้วเราพบว่า เค้ายังทำงานไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง ต้องมาสอนงานอีกเยอะ
ปีต่อมา เราเองก็พบว่าเราไม่ให้ราคาอะไรเลยกับ Cert. เลย เราเลิกมอง Cert. ของเด็กว่ามีความสำคัญ
สิ่งที่อาจารยยังตีโจทย์ไม่ได้คือเราต้องการเด็กที่ทำงานได้จริง ไม่ใช่เด็กที่มี Cert. มหาวิทยาลัย ยังไม่สามารถทำหลักสูตรให้เด็กออกมาแล้วทำงานได้
ถ้าปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยมันยังการันตีความสามรถไม่ได้ แล้วเราจะไปหวังอะไรกับใบรับรองราคา 2,200 บาท ว่ามันจะช่วยบอกว่าเด็กๆเราทำงานได้ครับ